|
|
|
หนวดแบบเส้นด้าย
(filiform)
|
หนวดแบบกระบอง
(clavate)
|
หนวดแบบลูกตุ้ม
(capitate)
|
ลักษณะยาวเรียว
ขนาดปล้องไล่เลี่ยกัน
เช่น หนวดของตั๊กแตน แมลงสาบ ด้วงเสือ
|
ปล้องส่วนปลายขยายใหญ่ต่อกัน
รูปคล้ายกระบอง
เช่น หนวดของผีเสื้อกลางวัน
|
ปล้องส่วนปลายขยายใหญ่เป็นปมคล้ายลูกตุ้ม
เช่น หนวดของแมลงเหนี่ยง
|
|
|
|
หนวดแบบแผ่นใบไผ่
(flabellate)
|
หนวดแบบใบไม้
(lamellate)
|
หนวดแบบฟันหวี
(pectinate)
|
ด้านข้างของปล้องยื่นออกเป็นแผ่นเรียวยาว
คล้ายใบไผ่เรียงซ้อนกัน มีแกนติดอยู่ตรงด้านข้าง
เช่น หนวดของด้วงสีดา
|
ปล้องส่วนปลายแบนเป็นแผ่นกว้าง
มีแกนติดอยู่ด้านข้าง
ทำให้มีลักษณะคล้ายก้าน และใบไม้
เช่น หนวดของด้วงมะพร้าว
|
ด้านข้างของปล้องยื่นออกมีลักษณะคล้าย
ฟันหวี เช่น หนวดของผีเสื้อยักษ์
|
|
|
|
หนวดแบบข้อศอก
(geniculate)
|
หนวดแบบสร้อยลูกปัด
(moniliform)
|
หนวดแบบฟันเลื่อย
(serrate)
|
ปล้อง scape
ยาวกว่าปล้องอื่น
pedicel หักเป็นรูปข้อศอก เช่น หนวดของ
มด ผึ้ง แตน แมลงภู่
|
ปล้องมีลักษณะกลม
มีขนาดเท่าๆกัน
เช่น หนวดของปลวก
|
ปล้องเป็นรูปสามเหลี่ยมเรียงกันคล้ายฟันเลื่อย
เช่น หนวดของแมลงทับ ด้วงดีด
|
|
|
|
หนวดแบบมีขนอะริสตา
(aristate)
|
หนวดแบบเส้นขน
(setaceous)
|
หนวดแบบเคียว
(stylate)
|
ปล้องสุดท้ายขยายใหญ่
มีขนที่เรียกว่า
อะริสตา (arista) ติดอยู่ เช่น หนวดของแมลงวัน
|
ขนาดปล้องเรียวเล็กลงไปทางปลายหนวด
เช่น หนวดของแมลงปอ เพลี้ยจักจั่น
|
ปล้องสุดท้ายมีลักษณะงุ้ม
คล้ายเคียว
เช่นหนวดของเหลือบ
|
|
|
|
|
หนวดแบบพู่ขนนก
(plumose)
|
|
|
ทุกปล้องมีขนยาวเป็นพู่รอบๆ
เช่นหนวดของยุงตัวผู้
|
|