ชื่อวิทยาศาสตร์ : Anagyrus lopezi
วงศ์ (Family) : Encyrtidae
อันดับ (Order) : Hymenoptera
|
ประโยชน์ |
มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้มีการนำไปใช้ควบคุมเพลี้ยแป้งสีชมพูในทวีปแอฟริกาจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ประเทศไทยโดย กรมวิชาการเกษตร ได้นำเข้าแตนเบียนชนิดนี้จากประเทศสาธารณรัฐเบนิน เมื่อปี 2552 ทำการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการ และนำออกทดสอบ ในสภาพไร่ พบว่าแตนเบียนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพูชนิดนี้มีความปลอดภัย สามารถดำรงชีวิตและ แพร่กระจายตัวได้ดี และมีประสิทธิภาพในการควบคุมเพลี้ยแป้งสีชมพูสูงมาก ไม่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมใด ๆ ทั้งสิ้น
ปัจจุบันกรมส่งเสริมการเกษตรโดยศูนย์บริหารศัตรูพืช ได้ดำเนินการผลิตขยายแตนเบียนชนิดนี้ได้แล้วเป็นจำนวนมาก และทำการปลดปล่อย เพื่อควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพูได้เป็นอย่างดี
|
ลักษณะการเจริญเติบโต |
แตนเบียน อนาไกรัส โลเปซี่ (Anagyrus lopezi) เป็นแมลงที่มีลำตัวมีขนาดเล็กสีดำสะท้อนแสง ลำตัวยาว 1.2-1.4 ม.ม. มีปีกใส 2 คู่ เพศผู้มีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย มีหนวดเป็นปล้องสีดำ เพศเมียหนวดมีปล้องขาวสลับดำ มีอายุ ระยะไข่ถึงตัวเต็มวัย 17-21 วัน |
พฤติกรรมการเข้าทำลายเพลี้ยแป้ง |
พฤติกรรมการห้ำ
แตนเบียนเพศเมียจะใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าลำตัวของเพลี้ยแป้ง โดยจะเลือกเพลี้ยแป้งขนาดเล็ก แล้วดูดกินของเหลวจากตัวเพลี้ยแป้ง ทำให้เพลี้ยแป้งตายทันที แตนเบียนเพศเมีย 1 ตัว สามารถทำลายเพลี้ยแป้งด้วยการห้ำได้วันละ 20-30 ตัว
พฤติกรรมการเบียน
แตนเบียนเพศเมียจะใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าลำตัวของเพลี้ยแป้งขนาดใหญ่ประมาณวัย 3 แล้ววางไข่เข้าในลำตัวของเพลี้ยแป้ง เมื่อไข่ของแตนเบียนฟักเป็นตัวหนอน จะกินของเหลวภายในตัวของเพลี้ยแป้ง ทำให้เพลี้ยแป้งค่อย ๆ ตายไป ลักษณะเป็นซากแข็งสีน้ำตาลที่เรียกว่า “มัมมี่” เมื่อแตนเบียนฟักเป็นตัวเต็มวัยก็จะเจาะผนังมัมมีเป็นรูบินออกไปทำลายเพลี้ยแป้งสีชมพูต่อไป แตนเบียนเพศเมีย 1 ตัว สามารถทำลายเพลี้ยแป้งด้วยการเบียนได้วันละ 15-20 ตัว
|
การนำไปใช้ |
ปล่อยตัวเต็มวัยแตนเบียนในอัตรา 50-100 คู่ต่อไร่ หากพบการระบาดรุนแรงอาจปล่อยในอัตรา 200 คู่ต่อไร่ โดยเปิดภาชนะบรรจุแตนเบียนเคาะลงบนยอดมันสำปะหลัง 4-5 ตัว ให้กระจายทั่วแปลง
|
ข้อควรระวัง
• แตนเบียนจะทำลายหรือเบียนเฉพาะเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพูเท่านั้น ควรปล่อยแตนเบียนในแปลงที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้งสีชมพู
• ก่อนและหลังการปล่อยแตนเบียน ห้ามฉีดพ่นสารเคมีโดยเด็ดขาด |
|
ข้อมูลอ้างอิง : ดร.อัมพร วิโนทัย สำนักวิจัยและพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร |